เปรียบเทียบค่า Nofollow กับ Dofollow Backlink แบบเข้าใจง่าย วัดผล SEO ได้จริง ไม่ต้องเดา
การทำ SEO ให้ติดอันดับบน Google ไม่ใช่แค่เรื่องคีย์เวิร์ดหรือเขียนบทความดี แต่ “Backlink” ก็เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่บอกกับระบบว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ยิ่งมีเว็บไซต์คุณภาพลิงก์กลับมาหาเยอะ โอกาสติดอันดับก็ยิ่งสูง แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ยังสับสนอยู่คือความแตกต่างระหว่าง Dofollow กับ Nofollow และคำถามสำคัญคือ แบบไหนดีกว่า แบบไหนควรโฟกัส เพื่อให้เข้าใจแบบชัดเจน บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าแต่ละประเภทคืออะไร มีผลต่อการจัดอันดับจริงแค่ไหน และควรใช้กลยุทธ์แบบใดจึงจะได้ผลลัพธ์สูงสุดจากการทำ SEO
Dofollow คือพลังส่งตรงสู่เว็บไซต์ของคุณ
Dofollow คือรูปแบบลิงก์ที่ส่งค่า “พลัง” หรือที่เรียกกันว่า Link Juice จากเว็บต้นทางมาที่เว็บไซต์ปลายทางแบบเต็มๆ Google จะนับลิงก์นี้ว่าเป็นการ “แนะนำ” ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเว็บคุณโดยตรง หากเว็บไซต์คุณได้รับ Dofollow backlink จากเว็บที่มีความน่าเชื่อถือสูง เช่น เว็บข่าวหลัก มหาวิทยาลัย หรือบล็อกที่ติดอันดับอยู่แล้ว ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณไต่อันดับได้ง่ายขึ้น เพราะ Google มองว่าเว็บของคุณได้รับการยอมรับจากแหล่งที่เชื่อถือได้
Nofollow ยังมีคุณค่า แม้ไม่ส่งพลัง SEO โดยตรง
หลายคนมองข้าม Nofollow เพราะเข้าใจว่ามันไม่มีค่าอะไรเลย แต่ในความเป็นจริง Nofollow ก็ยังมีประโยชน์ต่อ SEO ในมุมของ “ความเป็นธรรมชาติ” และ “การเพิ่มทราฟฟิก” ลิงก์ประเภทนี้จะมีแท็ก nofollow อยู่ในโค้ด HTML ซึ่งหมายความว่า Google จะไม่ส่งพลัง SEO โดยตรงจากลิงก์นั้น แต่ยังสามารถช่วยในด้านอื่น เช่น
- ดึงคนเข้าเว็บไซต์จากแหล่งที่มีผู้ใช้งานเยอะ
- ช่วยให้โปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เน้นแต่ Dofollow จนเกินไป
- ช่วยสร้าง Awareness และแบรนด์เมนชันในชุมชนที่คุณอยากให้รู้จัก
ตัวอย่างเช่น ลิงก์จาก YouTube, Facebook, Instagram หรือฟอรัมใหญ่ๆ มักเป็น Nofollow แต่สามารถเพิ่มทราฟฟิกได้จริง และมีผลต่อการรับรู้แบรนด์ในระยะยาว
ควรสร้างสมดุล ไม่เน้นสุดขั้วฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
เว็บไซต์ที่มีแต่ Dofollow จากแหล่งเดียวกัน หรือดูเหมือนจงใจสร้างลิงก์จำนวนมากในระยะสั้น อาจถูก Google มองว่าเป็นการปั่นลิงก์ ซึ่งเสี่ยงต่อการโดนลงโทษแทนที่จะได้อันดับสูง โปรไฟล์ลิงก์ที่ดีควรมีทั้ง Dofollow และ Nofollow ปะปนกันอย่างสมดุล จากแหล่งที่หลากหลาย ทั้งเว็บข่าว ฟอรัม บล็อกส่วนตัว เว็บชุมชน หรือแม้แต่จากโซเชียลมีเดีย เพราะนั่นคือสิ่งที่ดู “จริง” มากที่สุดในมุมมองของอัลกอริธึม
พิจารณาคุณภาพเว็บต้นทาง มากกว่าดูแค่ว่าเป็นลิงก์แบบไหน
ลิงก์ Dofollow จากเว็บไม่มีคุณภาพ หรือเว็บที่ทำมาเพื่อขายลิงก์โดยเฉพาะ (เช่น PBN หรือฟาร์มลิงก์) ไม่มีค่ามากเท่ากับ Nofollow จากเว็บที่มีชื่อเสียงจริงและมีผู้ใช้งานจริง เพราะ Google ให้ความสำคัญกับคุณภาพของแหล่งที่มามากกว่าประเภทของลิงก์
สิ่งที่ควรมองคือ
- Domain Authority ของเว็บไซต์นั้น
- ปริมาณทราฟฟิกที่เข้าจริง
- ความเกี่ยวข้องของเนื้อหากับเว็บไซต์คุณ
- ความเป็นธรรมชาติของลิงก์ (ไม่ใส่ยัดเยียดเกินไป)
สร้างลิงก์คุณภาพต้องใช้กลยุทธ์ ไม่ใช่หวังดวง
ถ้าคุณจริงจังกับ SEO ไม่ควรหวังพึ่งการแลกลิงก์หรือซื้อแพ็กเกจจากเว็บที่ไม่รู้จัก ควรเน้นสร้างคอนเทนต์ที่คนอยากแชร์ มีประโยชน์ในสายตาคนอ่าน และพัฒนาความสัมพันธ์กับเว็บไซต์อื่นในสายงานเดียวกันเพื่อให้เกิดลิงก์แบบ Organic
การเขียน Guest Post หรือให้สัมภาษณ์ในบทความของคนอื่น การตอบคำถามในคอมมูนิตี้ที่เกี่ยวข้อง หรือการทำอินโฟกราฟิกที่น่าสนใจแล้วเปิดให้เว็บไซต์อื่นนำไปใช้พร้อมเครดิต ก็เป็นวิธีที่สร้างลิงก์ได้คุณภาพและยั่งยืนกว่ามาก
Dofollow และ Nofollow ไม่ได้เป็นศัตรูกัน แต่ต่างมีบทบาทของตัวเองในโลกของ SEO Dofollow ช่วยเพิ่มพลังให้เว็บไซต์ ส่วน Nofollow ช่วยสร้างความหลากหลายและเพิ่มผู้เข้าชม ทั้งสองอย่างล้วนมีค่า หากรู้จักใช้ให้ถูกจุด กลยุทธ์ลิงก์ที่มีทั้งคุณภาพและสมดุลคือสิ่งที่ Google ชอบที่สุด และนั่นคือทางลัดสู่การติดอันดับอย่างมั่นคงในระยะยาว ไม่ใช่แค่หวังผลระยะสั้นแบบผิวเผิน
การทำ SEO ให้ติดอันดับบน Google ไม่ใช่แค่เรื่องคีย์เวิร…